แหล่งรวมความรู้ด้านการตลาดออนไลน์ - Digital Marketing

เพื่อให้ทุกคนที่มีความสนใจ อยากเรียนรู้ และสนุกไปกับโลกของดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง หรือการตลาดออนไลน์ เช่น SEO, Facebook Ads, Google Ads, WordPress, Data Driven, Content Marketing และอื่นๆ

ผู้ให้บริการด้าน Digital Marketing แบบครบวงจร เพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์และเพิ่มยอดขาย โดยนำการวัดผลที่มีประสิทธิภาพมาช่วยในการวางกลยุทธ์ทางการตลาด
เรียนรู้การทำงานของ Data Driven Marketing อย่างมีประสิทธิภาพ
Data Driven Marketing

เรียนรู้การทำงานของ Data Driven Marketing อย่างมีประสิทธิภาพ

กลยุทธ์การทำ Data Driven Marketing ส่งผลดีต่อนักการตลาดที่ทำงานด้านข้อมูลเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้รู้จักลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของตัวเองได้ดีขึ้นแล้ว ยังเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย อย่างที่รู้กันว่า ลูกค้าในปัจจุบัน มักต้องการใช้บริการแบรนด์ที่เหมาะกับตัวเองและเข้าใจตัวเองมากที่สุด

Growfox Agency ผู้ให้บริการด้าน Digital Marketing แบบครบวงจร

เลือกหัวข้อที่คุณสนใจ

Performance Marketing คืออะไร ?

Performance Marketing คือกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป้าหมายทางธุรกิจ สามารถวัดผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน ด้วยเมทริกซ์ต่าง ๆ เช่น ROI, ROAS หรือ CPA/CPL เรียกได้ว่าเป็นการทำการตลาดอย่างทรงประสิทธิภาพ ช่วยให้นักการตลาดสามารถวิเคราะห์ข้อมูล และแก้ไขได้อย่างถูกต้อง

Performance Marketing ทำผ่านช่องทางใดได้บ้าง ?

โฆษณา Google (Google Search) ถือเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด โดยการทำ Performance Marketing บน Google Search จะคิดราคาต้นทุนต่อคลิก หรือ CPC (Cost per click) นั่นหมายความว่าเราจะเสียเงินโฆษณาก็ต่อเมื่อมีการคลิกเกิดขึ้น ทั้งนี้ต้นทุนการคลิกจะถูกหรือแพง ก็ขึ้นอยู่กับ Keyword ที่เราใช้นั่นเอง

โฆษณา Google (Google Display Network) ถือเป็นโฆษณาที่อาศัยการซื้อพื้นที่บนเว็บไซต์ที่เป็นพาร์ทเนอร์ของ Google ซึ่งเราสามารถเลือกจ่ายเงินโฆษณาได้ทั้งหมด 2 รูปแบบด้วยกันคือ ต้นทุนต่อคลิก CPC (Cost per Click) และแบบ CPM (Cost-per-thousand-viewable-Impression) ที่จะเก็บเงินโฆษณาก็ต่อเมื่อมีคนเห็นโฆษณาของเราครบ 1,000 ครั้ง ที่แม้ว่าจะไม่มีการคลิกเกิดขึ้นก็ตาม

Facebook Ads อีกหนึ่งช่องทางยอดนิยมที่ใครหลายคนใช้ทำ Performance Marketing เพราะ Facebook สามารถครีเอทรูปแบบโฆษณาได้หลากหลาย สามารถเช็กประสิทธิภาพของโฆษณาพร้อมแก้ไขได้ตลอดผ่าน Ads manager

Affiliate Marketing ถือเป็นรูปแบบโฆษณาที่มาแรงมากในปัจจุบัน ซึ่งการทำการตลาดแบบรูปแบบนี้ถือเป็นการทำการตลาดผ่านบุคคลอื่น ซึ่งแบรนด์ส่วนใหญ่มักจะใช้ Influencers ในการโฆษณา เหล่าอินฟลูจะทำการแนบลิงก์สำหรับการซื้อไว้ในโพสต์นั้น ๆ ทั้งนี้แบรนด์จะทำการจ่ายค่า Commission ให้เป็นผลตอบแทน การทำ Affiliate นั้นเราสามารถวัดประสิทธิภาพของโฆษณาผ่านจำนวนการคลิก Link ที่มีคนกดนั่นเอง

ข้อดีของ Performance Marketing

  • ควบคุม Budget ที่เราใช้ทำโฆษณาได้ ทำให้เรามั่นใจได้ว่าเงินทุกบาทจะถูกใช้อย่างคุ้มค่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
  • ติดตามผลลัพธ์ วัดประสิทธิภาพและแก้ไขแคมเปญได้อย่างทันท่วงที ทำให้เราทำโฆษณาได้อย่างทรงพลังและเกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด

ความแตกต่างระหว่าง Performance Marketing vs Digital Marketing

Performance Marketing และ Digital Marketing หากมองเผิน ๆ อาจจะดูไม่ต่างกันแต่แท้ที่จริงแล้วกลับมีความต่างซ่อนอยู่ อาจกล่าวได้ว่าการทำการตลาดแบบ Performance Marketing จะเป็นการตลาดที่โฟกัสที่ผลลัพธ์เป็นหลัก มุ่งเน้นการวัดผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมาให้เห็นเป็นตัวเลขโดยใช้ Metric ต่าง ๆ ซึ่งช่องทางที่ใช้ทำโฆษณานั้นมีไม่มาก ในขณะที่ Digital Marketing คือการทำการตลาดผ่านช่องทางดิจิทัลทั้งหมด ไม่ได้โฟกัสว่าโฆษณาเหล่านั้นจะวัดผลได้หรือไม่ ทั้งนี้อาจจะเป็นการสร้างความรับรู้ หรือแม้กระทั่งการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าที่แน่นอนว่าการวัดผลลัพธ์จะวัดออกมาได้ยากกว่านั่นเอง

ขั้นตอนในการทำ Performance Marketing

1. กำหนดเป้าหมายของการทำโฆษณา

ขั้นตอนแรกเราควรกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนว่าเราอยากทำโฆษณาอะไร และทำเพื่ออะไร เช่น ต้องการสร้างยอดขาย ลงทะเบียนสมัครสมาชิก ต้องการคนคลิกลิงก์สินค้า จากนั้นให้เราทำการศึกษาการจ่ายเงินโฆษณาอย่างถี่ถ้วน เพราะแต่ละ Metric ก็มีการคิดเงินค่าโฆษณาที่แตกต่างกัน

2. เลือกช่องทางที่ใช้ในการทำโฆษณา

จากนั้นให้เราทำการเลือกช่องทางที่ใช้ในการทำการตลาด แน่นอนว่าเราควรเลือกช่องทางที่ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมายและสามารถวัดผลออกมาได้จริง ทั้งนี้เราควรศึกษากลุ่มเป้าหมาย สำรวจพฤติกรรมอย่างละเอียด เพื่อช่วยให้ชิ้นงานโฆษณาของเราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดและเกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด

3. เตรียมคอนเทนต์หรือชิ้นงานโฆษณา

ถัดมาให้เราทำการเตรียมชิ้นงานโฆษณาที่ต้องการใช้ ไม่ว่าจะเป็นรูปหรือแบนเนอร์ต่าง ๆ ซึ่งชิ้นงานโฆษณาจะต้องสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและช่องทางที่เราเลือกใช้ ควรศึกษาไซซ์ ปรับสี ให้เหมาะสม ที่สำคัญคอนเทนต์ที่ผลิตออกมาจะต้องไม่ละเมิดกฎชุมชนที่แต่ละแพลตฟอร์มตั้งไว้

4. ติดตามผลลัพธ์ ประเมินประสิทธิภาพ และหาแนวทางปรับเปลี่ยน

อย่างที่กล่าวไปว่าการทำ Performance Marketing นั้นจะวัดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นหลัก เราควรมอนิเตอร์แคมเปญอยู่เสมอเพื่อที่เราจะได้เรียนรู้ว่าการทำโฆษณาแบบไหนดี แบบไหนควรปรับเปลี่ยน เช่น ค่าต้นทุนต่อคลิกกี่บาท อยู่ในราคาที่ถูกหรือแพงเกินไป ทั้งนี้การประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้โฆษณาของเราเกิดประสิทธิภาพสูงที่สุดและเกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั่นเอง

Metric พื้นฐานที่ควรรู้จัก

  • CPC (Cost Per Click) คือเครื่องมือที่ใช้วัดต้นทุนต่อการคลิกของโฆษณา อาจกล่าวง่าย ๆ ว่าเราจะเสียเงินก็ต่อเมื่อมีคนคลิก ซึ่งเราสามารถกำหนดค่าใช้จ่ายต่อคลิกเองได้
  • CPM (Cost Per 1,000 Impression) คือต้นทุนต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง อาจกล่าวได้ว่าโฆษณาของเราจะถูกคิดเงินก็ต่อเมื่อมีคนเห็นครบ 1,000 ครั้ง โดยไม่มียอดคลิกเข้ามาเกี่ยวข้อง
  • CPL (Cost Per Lead) หรือเรียกสั้น ๆ ว่าต้นทุนต่อ Lead เครื่องมือนี้จะเป็นตัวช่วยที่ทำให้เรารู้ว่า Lead ที่เราได้รับกลับมาจากการทำแคมเปญนั้นเฉลั้ยอยู่ที่ราคากี่บาท ซึ่งวิธีการคำนวณก็ง่ายมาก ๆ เพียงแค่ใช้ ค่าโฆษณา หารด้วยจำนวน Lead ที่เราได้รับนั่นเอง
  • CPS (Cost Per Sales) หรือต้นทุนต่อการขาย กล่าวคือแบรนด์จะทำการจ่ายเงินหรือจ่ายค่าคอมมิชชันให้กับผู้ที่ขายสินค้าได้ โดยส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบของ Affiliate Marketing นั่นเอง
  • CPA (Cost Per Action) ถือเป็นการคำนวณต้นทุนต่อ Action ที่เกิดขึ้นจากโฆษณา ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ทำให้เห็นว่าแบรนด์ต้องลงทุนเท่าไหร่จึงจะคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับ ทั้งนี้การทำ CPA ต้องดูที่วัตถุประสงค์ของแบรนด์ด้วยเช่นกันว่าต้องการ Action แบบไหนจากลูกค้า เช่น การลงทะเบียน การสั่งซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก เป็นต้น

ธุรกิจใดบ้างที่เหมาะกับการทำ Performance Marketing

การทำการตลาดแบบ Performance Marketing สามารถนำมาใช้กับธุรกิจเกือบทุกประเภท ขอเพียงแค่ธุรกิจของคุณมีเว็บไซต์และมีหน้าร้านออนไลน์นั่นเอง